ปล เหมือนเดิมนะครับ ผมเรียบเรียง มาจากหนังสือ American Photo ฉบับเดือน มีนา-เมษา 2013
1. MORGAN LYNN RAZI เข้าเวปเขาแล้วตกใจ นึกว่าจะดูหนัง จีน เพราะแกดันใช้คำว่า fearlessมาขาย จริงๆ แล้ว Razi เป็นคนเริ่มถ่ายภาพงานแต่งงานเป็นไซด์ไลน์มาก่อน แต่ตอนที่เธอทำนั้น เธออายุ 15 ปี และเห็น นศ มหาวิทยาลัย โคโรลาโด ก่อนจะมาพบว่าที่สามี ที่ชอบการถ่ายภาพด้วยตอนเธอเรียน มหาลัย เธอเรียนการถ่ายภาพนะครับ และก็รับจ๊อบไปด้วย แต่สมัยนั้น เธอก็คิดว่า งายถ่ายภาพของเธอนั้นไม่ได้ เท่ หรือ เจ๋ง อะเไรมากมาย (สงสัยทำไปงั้นๆแหละ) และ ภาพของเธอก็ไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรให้กับ อาจารย์ หรือ เพื่อนๆ แต่อย่างใด ทำไปงั้นๆ ชิวๆ 555พอเรียนไปได้สักระยะ เธอก็นำความรู้ เทคนิค ที่เรียนมาผสมผสานกับ แนวการถ่ายภาพของเธอ ทำให้เธอเริ่มโดดเด่นขึ้นมา แต่ผมว่า เธอเริ่มมีแฟนนั่นแหละ เธอถึงสนใจเรื่องราวของ ความรักมากขึ้น นอกเรื่องนะครับ เพราะตอนหนึ่งเธอพูดว่า ฉันรู้สึกตื่นเต้นและได้รับแรงบันดารใจจาก อารมณ์และความสุขของผู้คน และฉันสัมผัสกับมันได้เพราะฉันนั้นโชคดีในความรัก ว่างั้น
2 Matt Miller แก้วตาขาร๊อค กว่าตัวเองจะรู้ว่ารักการถ่ายภาพก็เกือบๆจะสายไป แมตต์ มิลเลอร์ อดีตสมาชิกวงพังค์ร๊อค ที่ได้ตัดสินใจที่จะพักงานด้านนี้สักพักในปี 2007 เขาก็ได้ย้ายตัวเองจากบรู๊คลีนกลับมาที่แอตแลนต้า ลองงานใหม่ๆมาก็หลายงาน รวมทั้งเป็นช่างภาพคอนเสิรต์ก็เคยมาแล้ว จนเมื่อเพื่อนๆเขาแนะว่า เฮ้ย ลองไปผู้ช่วยถ่ายภาพงานเวดดิ้งสิ เขาก็คิดในใจว่า ตัยห่า มันฟังดูน่ากลัวไงไม่รู้ และ ตูก็ไม่รู้อะไรเล้ยเกี่ยวกับการถ่ายภาพเวดดิ้ง แต่ ตู ต้องการเงิน เอาวะ ลองดู
พอลองทำงานเป็นผู้ช่วยมาได้ 3 ปีเขาก็เริ่ม ออกมาหางานเอง แต่กลายเป็นว่า การที่เขาเคยอยุ่วงดนตีแนวฟังค์ร็อกมาก่อน กลับช่วยให้เขาสร้างผลงานในแนวทางของตัวเองขึ้นมาได้ (เฉยเลย) แถมการอยู่วงตนตรี ทำให้เขาเอาวิชาการเซตแสงมาใช้ด้วย เขามักเซตไฟสตูดิโอ เพื่อให้แสงกับพื้นที่ทั้งหมดของงานเลี้ยงต้อนรับ นับว่า การเป็นร็อคสตาร์จะกลายเป็นเวดิ้งสตาร์ไปในที่สุด
3.Ryan Brenizer: ตอนที่ผมเริ่มงานถ่ายภาพเวดดิ้ง ผมรุ้สัึกเหมือนผมกำลังออกภาคสนาม
ไรอัน จริงๆก็ทำงานเป็นช่างภาพอยู่แล้วที่มหาวิทยาลัย โคลัมเบีย โดบนีลหย่สมราถาสบภาพงานกิจกรรมในมหาวิทยาลัยทั่วไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารุ้สึกตื่นเต้นอะไรมากนัก แต่พอมาถ่ายภาพเวดดิ้ง เขารู้สึกเหมือนกับว่า เขากำลังเดินทางเข้าหาฉากที่เต็มไปด้วย อารมณ์ และ ความสวยงาม
เขามักทำราวกับว่า งานเวดดิ้งเป็นงานที่ถูกมอบหมาย เขาอยากรุ้ว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นใคร และ อยากแสดงเรื่องราวต่างๆของพวกเขา และเขามักใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับภาพ อาทิ การซ้อนแสง การระบายแสง การถ่ายภาพพาโนรามิคพอร์ตเทรดซึ่งเป็นที่รุ้จักกันดีในนาม Brenizer Method อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังยืนยันว่า เทคนิคเป็นแค่ วิถีทาง ที่จะทำไปสู่เป้าหมาย แต่สิ่งที่สำคํญกว่านั้นคือ ชั่วขณะที่คนสองคนกระทำต่อกัน
4 Samm Blake: แซมผ่านงานทางด้านการถ่ายภาพหลากหลาย ทั้งแนว แฟชั่น และ งานเชิงการค้าอื่นๆมากมาย ในช่วงระหว่างการเรียนเธอรับงานถ่ายภาพเวดดิ้งเพียงเพื่อจะหาเงินเล็กๆน้อยๆมาเป็นค่าขนม แต่กลายเป็นว่า งานถ่ายภาพเวดดิ้งนี่แหละที่จับใจของเธอ "ฉันว่างานถ่ายแบบนี้ เป็นเพียงชนิดเดียวที่ฉันจะได้มีอิสระในการใช้ความคิดสร้างสรรได้เต็มที่ ฉันสามาาถทำอะไรก็ได้ โดยที่ไม่ต้องมีใครมาสั่งฉันว่าต้องทำอย่างโน้น อย่างนี้ ฉันว่า ฉันก็คงเป็นพวกหัวดื้ออย่างนี้แหละ"
"ฉันรุ้ว่าเมื่อไหร่ควรเงียบ เพื่อให้คู่รักได้มีเวลาของตัวเอง" งานภาพของเธฮก็มักมี ช่องว่าง ขององค์ประกอบภาพเพื่อให้ซับเจคได้หายใจบ้าง งานของ เบลค มักออกมาในแนวบันทึกข้อมูลและศิลปะ
5.Ryan Joseph: ตอนที่ ไรอัน ถูกทาบทามให้เข้ามาเล่นฟุตบอล (หมายถึงอเมริกันฟุตบอล) ให้กับมหาวิทยาลัย โอไฮโอ เขาไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่า เขาได้มาอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงยอดเยี่ยมด้านการเรียนการสอน ในการถ่ายภาพ 4 ปีผ่านไปเขาได้ ปริญญาด้านการถ่ายภาพ จากนั้นเขาก็มาเปิดสตูดิโอ ด้านการถ่ายภาพ โจเซฟ มีสไตล์การทำงานในแบบ วิจิตรศิลป แต่ก็อาศัยเทคนิคต่างๆมากมายเพื่อจะให้ได้ภาพในแนวที่ตัวเองต้องการ
ในยามที่ต้องเป็นช่างภาพพอร์ดเทรด เขาก็จะสวมหมวก ผู้กำกับ จัดการกับคอมโพสิชั่นอย่างปราณีตบรรจงโดยใช้แสงธรรมชาติ เขาให้การช่วยเหลือซับเจคของเขาในการที่จะนำเอาความเป็นบุคลิกภาพของซับเจคออกมา
หัวใจของพอร์ตเทรดในงานเวดดิ้งก็คือ การแสดงตัวตนของเขาหรือเธอออกมาให้เห็น
คูลิเยฟ จากบ้นาเกิดที่ กรุงคาบูล ประเทศอาเซอไบจัน และมาอยู่ที่ นิวยอร์ค จากนั้นเขาได้งานเป็นกราฟิคดีไซน์เนอร์ แต่เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุ ทำให้เขาเดินไม่ได้เป็นปี พอเขาเริ่มจะใช้ไม้เท้าช่วยเดินได้ เขาก็เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับกล้องดิจิตอล เมื่อเขาหัดถ่ายภาพอยู่นั้น เขาถ่ายทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเขา ตั้งแต่ พอร์ตเทรด ไปจนถึง ทิวทัศน์ของเมืองใหญ่ ไปจนกระทั้ง ลิงกอริล่าที่ สวนสัตว์ในบร๊องซ์
เมื่อเขาค้นพบ การถ่ายภาพเวดดิ้งเขาบอกตัวเองว่า นี่คือสิ่งที่เขาค้นหา "ผมเป็นนายของตัวเอง ผมชอบที่จะอยู่รอบๆกับคนที่มีความสุข และะผมก็จะใช้ทักษะที่มีทุกอย่างในการถ่ายภาพเวดดิ้ง"
ภาพของเขาจะ บรรจงประกอบขึ้น อย่างมีอารมณ์ขัน เปี่ยมด้วยอารมณ์ และให้ความรุ้สึกที่แรงกล้า ซึ่งเขาได้กล่าวว่า เขาได้พบแรงบันดาลใจของเขาแล้ว แต่เขาก็ใช่ว่าจะปิดตนเองลงกับสิ่งใหม่ๆ
เขากล่าวว่า ",มันยากที่จะรุ้ว่า พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น" บางทีผมอาจเขียนบทกวี หรือ วาดภาพ ก็ได้ ใครจะรู้
7.Ashley and Jeremy Parsons: ตอนที่ แอชลี่ย์ พาร์สัน ถูกขอให้ถ่ายภาพงานแต่งงาน เธอทำงานเป็นพยาบาลพี่เลี้ยงเด็กที่ งานออกร้านเกี่ยวกับสุขภาพแห่งหนึ่ง เธอหัวเราะและกล่าวว่า "ฉันไม่ใช่ช่างภาพ แต่ก็ ขอบคุณ" จริงๆแล้ว ภาพที่เธอถ่ายก็เป็นภาพหมู่ครอบครัวง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา เธอก็เหมือนกับถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ เธอเล่าว่า มันเหมือนกับ การย้ายจากประสบการณ์หนึ่งไปสู่อีกประสบการณ์หนึ่ง ทุกๆภาพที่เธอถ่าย เสมือนเป็นของขวัญสำหรับเธอ
เธอกลับบ้านไปบอก สามีของเธอว่า เจเรมี่ เราต้องเป็นช่างภาพเวดดิ้ง"ฝ่ายสามี ด้วยความที่ เบื่องานประจำอยู่เหมือนกัน ก็เลยตามใจเธอ (ตอนนั้นเขาเป็น เสมียนในบริษัทให้กู้ยืมเงิน)
พวกเขา เก็บหอมรอมริด แล้วไปเปิดบูท ที่งานเวดดิ้งแฟร์แห่งหนึ่ง และได้รับจองงาน 18 งาน (บะ ดีแบบนี้ เด่วผมทำมั่ง 555) เจเรมี่ เลยออกจากงาน มาทำงานเต็มเวลากับ ภรรยา จากนั้นอีกหลายปี พวกเขาก็ได้พัฒนาแนวภาพแบบ บันทึกเหตุการณ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ "เราจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์กับลูกค้า เพราะเราไม่อยากคิดว่าลูกค้าคือลูกค้า เราอยากรู้เรื่องเราวของพวกเขา และ สิ่งที่พวกเขาเป็น" และพวกเขาก็ทำได้ดีเสียด้วย
"คุณจะไม่มีแรงบัลดาลใจได้อย่างไร ในเมื่องคุณมีความรักแห่งชีวิตอยู่กับคุณ"
8. Sean Flanigan จีน ฟานิงแกน เริ้มต้นอาชีพของเขาในปี 2005 ด้วยการเป็นนัถถ่ายภาพแนวผสมผสานระหว่าง นักหนังสือพิมพ์ กับ ช่างภาพเวดดิ้ง แต่ก่อนนั้นเขาเป็น นักเรียนอยู่ที่ สถาบันศิลปที่ซีแอตเติล แต่แล้วเขาก็มาถึงทางแยกของชีวิต เมื่อมี นสพ ฉลับหนึ่งมาจ้างเขาในตำแหน่ง สต๊าฟ โดยหน้าที่ของเขาคือ ไปทำภาระกิจตามที่กำหนด "แต่งงานมันไม่ได้สนุกเหมือนกับที่ผมถ่ายภาพเวดดิ้งให้กับลูกค้าเลย" ฟานิงแกนเลย เลิกอาชีพ นักหนังสือพิมพ์ และ ค่อยๆเก็บสะสมลูกค้าของเขา
"เฉพาะภาพที่ผมอยากถ่ายอีกครั้งเท่านั้น ที่จะเข้าไปสู่ พอร์ตของผมได้"
ด้วยเหตุนี้ ลูกค้าของเขาจึงมักเป็นพวกสายอาชีพครีเอทีฟซะส่วนใหญ่ ที่ซึ่งพวกเขาได้แบ่งปันความกระตือรือล้นของเขาในการทำงาน "เจ้าบ่าว เจ้าสาว ของผมเปรียบเสมือน อาร์ตไดเร็กเตอร์ และผมยินดีที่จะร่วมงานกับพวกเขาเป็นทีม"
ฟานิงแกน ใช้วิธิการที่หลากหลายเพื่อให้ได้ภาพในแนวของเขา เขามักใช้กล้องฟิลม์ โลโม เป็นครั้งคราว บวกกับ สายตาที่เฉียบแหลม ในการมองแสงธรรมชาติ ในเขตซีแอตเติลที่เขาเติบโตมา "มันช่างยากเย็นที่จะหา แสงที่มีทิศทางได้ ดังนั้น ถ้ามีแสงเกิดขึ้น ผมจะรีบ กระโดดใส่มันทันที ผมมักมองเห็นแสงที่น่าสนใจเกิดขึ้น มันเหมือนกับ สิ่งที่โผล่ขึ้นมาในใจผม"
นอกเหนือจาก เทคนิคแล้ว ฟานิงแกน ยกความชอบในเรื่องความสำเร็จของขาให้แก่ ลูกค้า ผู้ซึ่งให้ความไว้วางใจและอนุญาติให้เขา เข้าถึง ตัวตนของลูกค้า "สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากได้รรับคือ การเห็นพวกเขาได้แต่งงานกัน และ ได้มองเห็นหน้าของพวกเขา มันช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ"
9 Todd Hunter McGaw
ก่อนอื่น ผมต้องขอบอกว่า เวปของ ท็อดด์ แม็คกอว์ นี่ สวยน่ารักพิลึก
หากใครมาถามช่างภาพจาก บริสเบรน ออสเตรเลีย คนนี้ว่า เขาอยากถ่ายภาพเวดดิ้งไหม เขาจะตอบว่า "โอ้ ผมไม่ได้เตรียมตัวเพื่อมาเป็นช่างภาพแต่งงานนะครับ ผมน่ะอยากเป็นช่างภาพคอมเมอร์เชียลอยู่ตลอดเวลาแหละ" แต่เขาก็รู้ว่า เขาสามารถสร้างภาพที่ออกมาหลากหลายแนวได้ ในคราวเดียว และ นั่นก็กลายเป็นจุดแข็งที่ดึงดูดใจลูกค้าของเขา
สถานที่ ที่ แม็คกอว์ อยู่นั้น ก็มีความหลากหลายทางเชื้อชาติอยู่แล้ว เขากล่าวว่า "ออสเตรเลีย เป็นที่ๆมีวัฒนธรรมทางสังคมที่หลากหลาย" เรามีพิธีแต่งงานของพวก เวียดนาม จีน ออโธด็อกซ์ และผู้คนที่ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมแบบป๊อปด้วย" มีหลายคนเลย ที่ใส่ความต้องการส่วนตัวของพวกเขาเข้ามาด้วย ซึ่งเราก็ชอบมันมาก
ส่วนใหญ่แล้ว กระบวนการแบบสามัญทั่วไปของ แม๊คกอว์ ที่มักจะเป้็นก็คือ ลูกค้ามีความต้องการภาพ ผนวกกับ กระบวนการสร้างสรรภาพโดยการให้ความร่วมมือของลูกค้า และแม้ว่า ลูกค้าจะชอบภาพ พอร์ดเทรดของเขาแค่ไหน พวกเขาก็จะต้องประหลาดใจกับภาพแนว แอบถ่าย ของเขาอยู่เสมอ
(ก่อนลูกค้าจะเห็นอัลบัมภาพ) เรามักบอกกับลูกค้าว่า "คณจะต้องชอบ ภาพที่คุณจูบคณแม่ของคุณแน่ๆ" ลูกค้าก็จะตอบว่า อ๋อ ใช่ๆๆ แน่ล่ะ ไหนเรามาลองดูอัลบัมภาพกันดีกว่า แต่พอพวกเขาได้เห็นอัลบัม พวกเขาจะประทับใจกับ ช่วงขณะ เล็กๆ ที่เราบรรจงเก็บไว้อย่างตั้งใจกันทุกคน
10 Tyler Wirken
"เราไม่ได้เหมาะกับคนทุกคน" ไทเลอร์ ไวร์เคน แห่ง แคนซัสซิสตี้ มิสซุรี่ กล่าว
ลูกค้ามักสนใจภาพแต่งงานของคนอื่นมากกว่าของตัวเอง
ไวร์เคน เริ่มงานถ่ายภาพจากการเป็นช่างภาพแนวบันทึกเหตุการณ์
เขามีแนวการบันทึกภาพเหตุการณ์แบบเงียบๆ ทำตัวให้ไม่เป็นที่น่าสนใจ (ผมนึกถึง เดนนิส ริชชี่ เลยตอนนี้) "ถ้าผมคุยกับพวกเขามากเกินไป มันก็จะไปมีผลต่อความเที่ยงแท้ของ ช่วงเวลาของภาพ"
ไวร์เคน ทำถึงขนาดที่ว่า เอาตัวออกจากโบสถ์ ที่กำลังมีพิธีการ โดยทิ้งกล้องที่มีรีโหมตอยู่ด้านใน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีการสื่อสารใดๆเลยกับลูกค้า "ผมใช้เวลากับพวกเขามากพอ จนกระทั่งถึงวันเริ่มงาน ผมก็จะได้้รับความไว้วางใจจากพวกเขา"
จากบุคคลิที่เน้นไปที่ความสัมพันธ์ของครอบครัว ทำให้สไตล์ของเขาเหมาะกับ คู่แต่งงานที่ อาศัยและเติบโตมาในเมือง "ลูกค้าส่วนใหญ่ของผม ยังคงอาศัยในเมื่องที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา การผูกพันกับครอบครัวที่แน่นแฟ้นนั้นนับเป็นข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัด" การที่เขาอยู่กับลูกค้ายาวนานจนแทบจะวินาทีสุดท้าย กลับกลายเป็นเป้าหมายอันสูงสุดของเขา "ถ้าผมสามารถเจาะลึก และ สามารถ แส่งให้พวกเขาเห็นว่า แท้จริงแล้วพวกเขานั้นเป็นใคร ก็นับว่า ผมประสบความสำเร็จแล้ว"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น